3 วิธีคิด เปลี่ยนคนขี้อาย ให้กล้าพูดต่อหน้าผู้คนได้

ผมเชื่อว่าอาการไม่มั่นใจในการพูด คงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่ใช่น้อยสําหรับหลายๆท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ "ขี้อาย" "ไม่ค่อยกล้าแสดงออก" ผมเป็นคนหนึ่งที่ขี้อายมากๆครับ มันทําให้ผมต้องสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างในชีวิตไป เพียงแค่ผมไม่มั่นใจจนไม่กล้าที่จะพูด กล้านำเสนออะไร ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าความรู้สึกมันอึดอัด และหนักใจแค่ไหน ถ้าท่านเป็นคนขี้อายเหมือนที่ผมเคยเป็น ในวันนี้ทางทีมงาน MKT Solution จะมาแบ่งปันถึง 3 วิธีคิด เปลี่ยนคนขี้อาย ให้กล้าพูดต่อหน้าผู้คนได้

เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าทักษะด้าน "การพด และการนําเสนอ" เป็นทักษะที่สําคัญ และจําเป็นกับทุกสาขาอาชีพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องเป็นผู้นํา นักธุรกิจ นักขาย และผู้ที่ต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนตลอดเวลา ผมเป็นคนหนึ่งที่ก็ต้องรับในบทบาทนั้นๆ แต่คําถามคือ จะทำได้อย่างไร? ในเมื่อเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก งั้นเราไปเริ่มที่วิธีคิดทั้ง 3 กันเลยครับ

1. ยอมรับและเข้าใจ

ลองนึกตามดูนะครับ ถ้าผมมีไอเดียหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้ แต่ผมกลับไม่กล้าพูดออกไปให้โลกรู้ว่า มันมีไอเดียหรือผลิตภัณฑ์นี้อยู่ มันก็แทบจะไร้ความหมายไปเลยครับ เพราะจริงๆแล้วไม่มีคนประสบความสําเร็จคนไหนในโลกที่ "พูดต่อหน้าผู้คน" ไม่ได้ เมื่อก่อน ผมพยายามหาข้ออ้างต่างๆนาๆเพื่อสนับสนุนความคิดของผมที่ว่า การพูดมันไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ผมอยากจะเป็น แต่ก็นั่นแหละครับ แทบไม่มีข้ออ้างใดๆที่สนับสนุนความคิดนี้ของผมเลยถึงมีมันก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ ขนาดมหาเศรษฐีอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต์เอง ยังได้กล่าวแนะนํานักศึกษาจบใหม่เลยว่า

"การพูดในที่สาธารณะเป็นทักษะที่สําคัญและจําเป็น ถ้ามีทักษะการนําเสนอทีดี มันก็จะเป็นทรัพย์สิน หากไม่ดี ก็เสมือนเป็นหนี้สิน"

และเรื่องพวกนี้แหละครับที่เราต้องยอมรับ และทําความเข้าใจก่อน คนเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างได้ ก็ต่อเมื่อเห็นความสําคัญของสิ่งนั้นมากพอ เมื่อเราเห็นความสําคัญของสิ่งนั้นมากพอ มันก็จะทําให้เรามีแรงผลักดันมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงนั่นเองครับ เพราะเรารู้ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงมันไปเพื่ออะไร สิ่งนี้สําคัญครับ ถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเองทําสิ่งนั้น สิ่งนี้ไปทําไม มันก็เหมือนกับการเดินทางไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางนั่นเอง

จุดที่ทําให้ผมเห็นความสําคัญของการพูด และตัดสินใจที่จะต้องพูดให้ได้ ก็ตอนที่ผมทําธุรกิจแล้วเจ๊งครับ หมดเงินไปเป็นแสน เป็นเพียงเพราะผมอาย และไม่กล้าพอที่จะไปนําเสนอไอเดียธุรกิจให้กับผู้คน และก็ได้แต่นั่งมองคนอื่นทําในสิ่งที่ตัวเองคิด มันคือโอกาสที่ต้องเสียไปครับ และอย่างที่บอก “การพูด” สุดท้ายแล้วยังไงมันก็สําคัญกับทุกคน กับทุกอาชีพอยู่ดี เพราะในแต่ละวันเราแทบจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งนี้ไปไม่ได้เลย นี่คือข้อแรกที่ผมยกขึ้นมาครับ

ไม่ว่าท่านจะไม่มั่นใจ ขี้อาย ไม่กล้าพูด อันดับแรกคือ ต้องตอบให้ได้ว่าการพูดมันสําคัญกับเรายังไง ทําไมเราถึงต้องพูดให้ได้ และนี่คือสิ่งที่ผมทําก่อนวิธีอื่นๆเลยครับ

เมื่อเรารู้คําตอบ เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว มันว่ากันด้วยเรื่องของวิธีคิดกับวิธีการครับ ถ้าถามว่าวิธีคิดกับวิธีการอะไรสําคัญกว่ากัน? ผมคงบอกไม่ได้ว่าอะไรสําคัญกว่าอะไร แต่สําหรับผมวิธีคิดต้องมาก่อนวิธีการเสมอ ซึ่งวิธีต่อๆไปจะเป็นวิธีที่ผมใช้ในการที่จะค่อยๆขจัดความไม่มั่นใจ และความขี้อายออกไป โลกทั้งใบถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อจากคนที่ถูกมองว่าทําในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และความเชื่อในความสําเร็จเหล่านั้น ก็ถูกผ่านการยอมรับว่าล้มเหลวมานับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นอย่ายอมแพ้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองครับ

2. ทฤษฎี “หมาจนตรอก”

ในทุกครั้งที่ผมจะต้องขึ้นพูด หรือทําอะไรก็ตาม ผมจะใช้วิธีนี้ตลอดครับ คุณคงทราบถึงความหมายของคําว่า “หมาจนตรอก” ดีอยู่แล้ว มันคือการที่ฮึดสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือก มันคล้ายๆกับการที่เราถูกถีบลงไปในนำ้ ต่อให้เราว่ายไม่เป็น แต่สิ่งที่เราจะทําคือว่ายนํ้า ต้องขอบคุณอาจารย์หลายๆท่านของผมที่ทําให้ผมค้นพบวิธีนี้ ในช่วงแรกๆที่ผมไม่กล้าพูด อาจารย์จะให้ผมออกไปพูดหน้าเวทีแบบที่ไม่ได้นัดกันมาก่อนบ่อยมากครับ สิ่งที่ผมต้องทําก็คือ ก็ต้องพูดอ่ะครับทํายังไงได้ ผมโดนถีบลงนํ้าเรียบร้อยแล้ว 5555

เช่นเดียวกันถ้าในตอนนี้คุณกําลังยืนอยู่บนเวที แล้วมีคนรอฟังอยู่ สิ่งที่คุณจะต้องทําก็คือพูด สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ทําทุกสิ่งเหมือนกับว่าจะไม่ได้ทํามันอีก ทําทุกอย่างแบบไม่มีทางเลือกให้กับสิ่งที่เราอยากได้ครับ ผมต้องการจะเป็นคนที่กล้าพูด กล้าแสดงออก ต้องการเป็นคนที่มั่นใจ เพราะฉะนั้นมันต้องไม่มีทางเลือกใดๆที่จะไม่ให้ผมทําสิ่งเหล่านั้น

ผมไม่ได้บอกว่า การมีทางเลือกเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราต้องสร้างทางเลือกให้กับสิ่งที่ควรสร้างต่างหากครับ เมื่อก่อนผมพยายามที่จะสร้างทางเลือกเพื่อที่จะไม่ทำ ให้กับสิ่งที่อยากได้ แต่กลับไม่เคยมีทางเลือกให้กับสิ่งที่ไม่อยากได้เลยครับ ยกตัวอย่างผมต้องการที่จะพูดต่อหน้าผู้คนให้ได้ สิ่งที่ผมต้องทําคือขึ้นไปพูด แต่ผมกลับสร้างทางเลือกมากมายเพื่อที่จะทําให้ผมไม่ต้องขึ้นไปพูด ในทางกลับกันพอเพื่อนชวนไปเที่ยว ไปสังสรรค์ ซึ่งมันไม่ผิดนะครับ แต่ผมกลับไม่มีทางเลือกให้กับสิ่งเหล่านี้เลย คือยังไงก็ไปถึงแม้บางครั้งจะไม่ได้อยากไป ถึงแม้จะทําให้เสียเงินโดยใช่เหตุ 55555 เพราะผมไม่เคย ปฏิเสธ นั่นเองครับ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้ไปใช้ชีวิต ไปเที่ยว ไปสังสรรค์นะครับ นั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้เป็นในลักษณะของการให้รางวัลตัวเองมากกว่า

สุดท้ายครับ ทางเลือก เท่ากับ ข้ออ้าง ไม่มีข้ออ้างก็เท่ากับไม่มีทางเลือก และการไม่มีทางเลือก มันทําให้เราไม่ต้องตัดสินใจ เมื่อไม่ต้องตัดสินใจ ความกังวลและความไม่มั่นใจที่จะทําอะไรก็น้อยลง เพราะทําคือทํา ยังไงเราก็ต้องทํา

และถ้าคุณอยากจะมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น คุณก็ต้องลงมือทําอะไรสักอย่างแบบไม่มีข้ออ้างใดๆเช่นกัน ประโยคที่ผมพูดกับตัวเองเป็นประจําเลย คือ

“เอาเว้ย ทําก็ทําว่ะ ถ้าทําแล้วไม่ตายจริงก็ทําซะ”

ลองใช้ทฤษฎี “หมาจนตรอก” นี้ดูครับ และ อย่ามีทางเลือกหรือข้ออ้างใดๆที่จะไม่ทําในสิ่งที่ตัวเองต้องการ สู้ๆครับ เรามีต่อกันที่วิธีถัดไปเลยครับ

3. ทฤษฎี “ช่างมัน”

จริงๆผมอยากใช้อีกคํานึง และเป็นคําที่ผมใช้จริงๆเป็นประจํา แต่ก็กลัวมันจะไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ เอาเป็นว่า ช่างมัน ในที่นี้เท่ากับ ช่าง_ม่_ ก็แล้วกันนะครับ เอาเป็นว่ารู้กัน 555555

ความไม่มั่นใจเกิดจากสาเหตุอย่างหนึ่ง นั่นคือ กลัวที่จะต้องตัดสินใจ

คําถามคือ ทําไมเราถึงกลัวที่จะต้องตัดสินใจ มันมีความกลัวอีกอย่างหนึ่งครับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักใหญ่ๆที่ทําให้เราไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าตัดสินใจ และเงียบจนกลายเป็นคนขี้อายที่ไม่มั่นใจในที่สุด

ความกลัวที่ว่า คือ กลัวคนอื่นมองเราไม่ดี นั่นเองครับ

เอาจริงๆนี่คงเป็นเหตุผลที่ทําให้เราไม่ได้ทําอะไรหลายๆอย่างในชีวิต เพียงเพราะเราต่างกลัวว่า คนอื่นจะมองเราอย่างไร รู้สึกกับเราอย่างไร มนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจเลยก็คือ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมองเราไม่ดี และความต้องการพื้นฐานของคนเราก็คือ การเป็นที่ยอมรับจากคนอื่นอยู่แล้ว เอาง่ายๆว่า แคร์ความรู้สึกคนอื่นจนตัวเองไม่ได้ทําอะไรสักอย่าง บางครั้งนะครับเราพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรบางอย่างไปในกลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มที่ทํางาน บางทีเราใช้เวลาคิดไป 2-3 วันเลยก็มีครับว่า คนที่ฟังเราพูดเมื่อตะกี้จะคิดกับเราแบบไหน มันจะเข้าท่าไหม เราไม่น่าพูดอย่างนั้นออกไปเลย นี่แหละครับคือสิ่งที่เกิดขึ้น และผมก็เชื่อว่า หลายๆท่านต้องเคยเป็นแบบนี้มาก่อนทั้งนั้น และทฤษฎี “ช่าง_ม่_” นี่เองครับที่จะเข้ามามีบทบาทสําคัญ

จําไว้อย่างหนึ่งเลยครับ ไม่ว่าเราจะทําอะไร หรือไม่ทําอะไร มันจะมีคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยเสมอ นี่คือเรื่องจริงครับ

และถ้าจะให้พูดตรงๆคนที่เราแคร์ว่าเขาจะมองอย่างไรกับเรา เขาก็คงแคร์ว่าคนอื่นจะรู้สึกกับเขายังไงเหมือนกัน อาจจะฟังดูโหดร้ายนะครับ แต่เราต่างก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น เราไม่ได้มีเวลาในชีวิตเยอะขนาดนั้นครับ หากอยากทําอะไรก็ลุยเลย ที่สําคัญต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น ผมจะพูดคํานี้ (ช่าง_ม่_) กับตัวเองเสมอๆครับ เวลาที่ตัดสินใจพูด หรือทําอะไรบางอย่างออกไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้แคร์อะไรเลย แล้วจะช่าง_ม่_มันไปตลอดนะครับ แต่อยากให้คิดว่าเราจะเสียเวลาคิดในสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว หรือเราจะเอาเวลาตรงนั้น ไปคิดว่าจะทํายังไงต่อหลังจากนี้ ลองใช้ทฤษฎีหรือวิธีนี้ดูครับ คุณจะรู้สึกว่าคุณไม่ได้เกิดมาเพื่อแบกโลกไว้ทั้งใบ แล้วคุณจะมีความสุขใน การทําสิ่งต่างๆมากขึ้นครับ

เพราะโอกาสดี ๆ จะเป็นของผู้ที่คว้าไว้ แล้วเริ่มลงมือทำเสียตั้งแต่ตอนนี้

ใครสงสัยตรงไหน หรืออยากรู้ลึกมากขึ้น
สามารถทักมาสอบถามทีมงาน MKT Solution ได้เลยครับ

Facebook
Twitter
LinkedIn
โดย NOBODY KNOW MKT

โดย NOBODY KNOW MKT

คอร์สออนไลน์

Personal Branding สร้างตัวตนให้กลายเป็นทรัพย์สิน สร้างรายได้

มูลค่า 990 บาท
แนะนำ

พูดเป็นเห็นโอกาส พูดฉลาดสร้างรายได้

มูลค่า 1,590 บาท
แนะนำ

Selling Technique พิชิตยอดขาย

มูลค่า 942 บาท
แนะนำ

MKT Academy

UP & Re Skill

แหล่งรวมความรู้ หลักสูตรออนไลน์ เรียนได้ไม่จำกัด
พัฒนาศักยภาพ สร้างโอกาสสู่อนาคต